Search

สำนักข่าวประชาไท นำเสนอข่าวความจริงกรณีฑูตรัสเซียพูด และมีการบิดเบือนความจริง

Created: 16 March 2022

8  ซึ่งจากการที่ทีมข่าวประชาไท นำเสนอข่าวความจริงกรณีฑูตรัสเซียพูด และมีการบิดเบือนความจริง ซึ่งกรณีนี้อาจจะมีผลกระทบกับพิธีกรอ่านข่าวทีวีช่องนึง ได้กล่าวถึงกรณีสหรัฐร่วมมือกับยูเครนเพื่อทำห้องแล็ปวิจัยอาวุธชีวภาพในยูเครนอีกด้วย นี่คือผลงานการทำงานของสำนักข่าวประชาไทแบบตรงไปตรงมา ถอดคำพูดที่มีการบิดเบือนของฑูตรัสเซียและสื่อต่างๆนำไปเสนอครับ

15 มี.ค. 2565 เยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบในประเทศยูเครน ณ สถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไทยจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมข่าว ‘ประชาไท’ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (factcheck) ถ้อยแถลงของทูตรัสเซีย ได้พบว่ามีหลายท่อนหลายตอนที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ไม่ชัดเจนในเนื้อหา หรือเป็นนำเอาข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ของรัฐบาลรัสเซียมาผลิตซ้ำ

ทั้งนี้ งานแถลงข่าวดังกล่าวจัดขึ้นในห้วงเวลาที่ทางการรัสเซียกำลังโหมเดินหน้าสงครามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับปฏิบัติทางทหารในยูเครน ซึ่งนับวันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติในเร็ววัน

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: การเปิดระเบียงมนุษยธรรมมีทุกวันตั้งแต่ 10 นาฬิกาเป็นต้นไปและรัสเซียก็รับประกันความปลอดภัย แต่รัฐบาลยูเครนต่างหากที่ไม่ตกลงให้ประชาชนเดินทางออกจากเมืองที่ถูกปิดล้อม เหมือนว่าใช้เป็นตัวประกัน

ผลการตรวจสอบ: ไม่ชัดเจน (Contested)

เจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครนรายงานว่า กองทัพรัสเซียที่ปิดล้อมเมือง Mariupol เพิ่งเปิดทางให้ประชาชนขับรถหลบหนีออกจากเมืองครั้งแรกในวันที่ 15 มีนาคม นับตั้งแต่การปิดล้อมเริ่มต้นขึ้นกว่าสองสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่อนุญาตให้ขบวนรถส่งอาหารและเวชภัณฑ์เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ยังติดค้างในเมือง

ก่อนหน้านี้รัฐบาลยูเครนได้กล่าวหารัสเซียว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ระเบียงมนุษยธรรมตามเมืองต่างๆหลายครั้ง ทำให้การอพยพประชาชนต้องถูกล้มเลิกกลางคันบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงว่าด้วยระเบียงมนุษยธรรมอย่างเข้มงวด เพื่อที่การอพยพประชาชนจะได้เป็นไปอย่างปลอดภัยจริง

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: ไม่มีสื่อตะวันตกพูดถึงโศกนาฏกรรมในดอนบาสที่ถูกกองกำลังยูเครนยิงปืนใหญ่ มีคนเสียชีวิตมากกว่า 13,000 ราย

ผลการตรวจสอบ: เข้าข่ายบิดเบือน (Misleading)

ทางการรัสเซียและสื่อในการควบคุมของรัฐบาลรัสเซีย มักให้ข่าวในลักษณะที่ทำให้คนอ่านเข้าใจว่า ยูเครนสังหารประชาชนหรือชาวรัสเซียไปกว่า 13,000 รายในแคว้นดอนบาสและยูเครนตะวันออก

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าตัวเลขนี้มาจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่ระบุว่าศึกแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออกมีผู้เสียชีวิตประมาณ 13,000 - 14,000 ราย ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา แบ่งเป็นพลเรือน 3,000 กว่าราย ทหารฝ่ายกบฎ (ซึ่งรัสเซียให้การสนับสนุน) ประมาณ 5,600 ราย และทหารฝ่ายยูเครนประมาณ 4,100 ราย

นอกจากนี้ สื่อตะวันตกหลายแห่งได้พูดถึงและรายงานสถานการณ์สงครามแบ่งแยกดินแดนยูเครนมาตลอดตั้งแต่ปี 2557

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่ามีสถาบันวิจัยชีวภาพในยูเครน ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รัสเซียได้รับทราบข้อมูลมาก่อนแล้ว

ผลการตรวจสอบ: ตรงตามข้อเท็จจริง แต่เข้าข่ายบิดเบือน (Factually true, but misleading)

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซียได้กล่าวหาหลายครั้งว่ายูเครนมีโครงการพัฒนาอาวุธชีวภาพ และพยายามโยงข้อกล่าวหานี้กับคำพูดของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่ายูเครนมีห้องทดลองชีวภาพและศูนย์วิจัยโรคระบาด

อย่างไรก็ตาม การมีห้องทดลองชีวภาพหรือศูนย์วิจัยโรคระบาด ไม่ได้แปลว่าสถานที่เหล่านั้น มีการพัฒนาอาวุธชีวภาพ เพราะหลายประเทศก็มีห้องทดลองและศูนย์วิจัยในลักษณะเดียวกันเพื่อศึกษาเชื้อโรค, โรคระบาด, และวิทยาศาสตร์ด้านชีวภาพอื่นๆ

ทั้งนี้ ทางการรัสเซียไม่มีการนำหลักฐานใดๆมาแสดงเพื่อพิสูจน์ว่ายูเครนมีการพัฒนาอาวุธชีวภาพ นอกจากคำกล่าวหาที่อ้างโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซียเท่านั้น

ด้านสหประชาชาติระบุว่า ไม่ทราบถึงการกระทำใดๆหรือข้อสงสัยใดๆที่บ่งชี้เลยว่า มีการพัฒนาอาวุธชีวภาพในยูเครน

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: ยูเครนมีเป้าหมายจะใช้การส่งนกไปที่รัสเซีย เพื่อเป็นพาหะนำอาวุธชีวภาพ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายมากไปกว่าประเทศรัสเซีย

ผลการตรวจสอบ: กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน (Baseless)

คำกล่าวอ้างนี้มีที่มาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียแห่งหนึ่งว่า กองทัพรัสเซียได้ค้นพบแผนลับของยูเครนที่ใช้ฝูงนกอพยพเป็นพาหะนำอาวุธชีวภาพ เพื่อบินไปแพร่เชื้อในรัสเซีย

การกล่าวอ้างดังกล่าว เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีการแสดงพยานหลักฐานใดๆ นอกจากอ้างอิงจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการรัสเซียเท่านั้น

ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุด้วยว่าไม่เคยมีประเทศใดประสบความสำเร็จในการใช้ฝูงนกเป็นอาวุธระยะไกล เช่น สหรัฐอเมริกา เคยพยายามทดลองใช้นกบินไปทิ้งระเบิดใส่ข้าศึก แต่ก็ต้องล้มเลิกไปในปี 2496

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: มีกรณีในประเทศตะวันตกห้ามไม่ให้วงดนตรีออเครสตร้า เล่นเพลงรัสเซียที่ประพันธ์โดยไชคอฟสกี้ นักประพันธ์เพลงคลาสสิกชื่อดังชาวรัสเซีย เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย

ผลการตรวจสอบ: เข้าข่ายบิดเบือน (Misleading)

คำกล่าวอ้างนี้มีที่มาจากข่าววงดนตรี Cardiff Philharmonic Orchestra ในสหราชอาณาจักร ยกเลิกการแสดงเพลง “1812 Overture” ของไชคอฟสกี้ออกจากกำหนดการเดิมซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18 มีนาคมนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการของวงดนตรีอธิบายว่า ตัดสินใจตัดการแสดงเพลง “1812 Overture” เนื่องจากเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเชิดชูการทำสงครามของกองทัพรัสเซียในสมัยพระเจ้าซาร์ และตามธรรมเนียมแล้ว การแสดงเพลงดังกล่าวจะต้องจำลองการยิงปืนใหญ่หลายนัด ดังนั้น วงดนตรีและฝ่ายสถานที่จึงสรุปว่า จะดูเป็นเรื่องไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ถึงแม้จะการแสดงเพลง “1812 Overture” ถูกยกเลิก แต่วงดนตรี Cardiff Philharmonic Orchestra ระบุว่าจะมีการแสดงเพลงที่ประพันธ์โดยชาวรัสเซียในอีก 3 รายการด้วยกันเร็วๆนี้ มิได้มีการห้ามเล่นเพลงที่ประพันธ์โดยชาวรัสเซีย หรือมีเจตนาคว่ำบาตรผลงานเพลงรัสเซียแต่อย่างใด

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: UNICEF และองค์กรอื่นๆ ไปไหนตอนที่ยูเครนปฏิบัติการในดอนบาส 8 ปีที่ผ่านมา

ผลการตรวจสอบ: บิดเบือนข้อเท็จจริง (False)

คำถามดังกล่าวส่อเจตนากล่าวหาว่า กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ มิได้สนใจหรือมีบทบาทตั้งแต่การสู้รบในแคว้นดอนบาสปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา แต่ตามจริงแล้ว UNICEF ได้เคลื่อนไหว ตรวจสอบข้อเท็จจริง และออกข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเด็กที่ประสบภัยจากการสู้รบในดอนบาสมาตลอดหลายปี เช่น รายงานของ UNICEF เมื่อปี 2563 เตือนว่ามีเยาวชนกว่า 500,000 คนตกอยู่ในความเสี่ยงจากการสู้รบ โดยเฉพาะการใช้กับระเบิดและวัตถุระเบิดจากทั้งสองฝ่ายในสงคราม

นอกจาก UNICEF แล้ว องค์การระหว่างประเทศอื่นๆก็มีบทบาทในแคว้นดอนบาสมาตลอดเช่นกัน อาทิ ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ดำเนินการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในดอนบาส และ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ประณามการทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในดอนบาส ทั้งจากฝ่ายยูเครนและฝ่ายกบฎ

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: รัสเซียไม่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ไม่ถล่มเมืองในยูเครน

ผลการตรวจสอบ: บิดเบือนข้อเท็จจริง (False)

มีรายงานข่าว ปากคำพยานเห็นเหตุการณ์ และรายงานจากผู้สังเกตการณ์จำนวนมาก ระบุชัดเจนว่ากองทัพรัสเซียโจมตีหรือถล่มเป้าหมายพลเรือนหลายครั้ง เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก เช่น ยิงปืนใหญ่หรือขีปนาวุธใส่อาคารที่อยู่อาศัยในกรุงเคียฟและเมืองอื่นๆอย่างต่อเนื่อง, ทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol เมื่อวันที่ 10 มีนาคม, ยิงปืนครกถล่มกลุ่มผู้ลี้ภัยสงครามในเมือง Irpin เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ฯลฯ

ทั้งนี้ สหประชาชาติรายงานว่า มีพลเรือนเสียชีวิตในสงครามยูเครนแล้วอย่างน้อย 691 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 48 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม) ซึ่งคาดว่าตัวเลขที่แท้จริงสูงกว่านี้มาก

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: หลายคนไม่รู้ว่าทหารยูเครนจัดตั้งกำลังอาวุธ ซ่อนตัวตามโรงเรียนอนุบาล ตามพื้นที่ในเมือง

ผลการตรวจสอบ: กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน (Baseless)

เป็นการกล่าวอ้างโดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียและเผยแพร่ต่อในสื่อทางการรัสเซีย โดยที่ไม่มีการนำหลักฐานใดๆ มาแสดง

ก่อนหน้านี้ ทางการรัสเซียได้เผยแพร่ข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันเกี่ยวกับการทิ้งถล่มใส่โรงพยาบาลในเมือง Mariupol โดยอ้างว่าทหารยูเครนเข้าไปซ่อนตัวในโรงพยาบาล ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาแสดงเช่นกัน

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: ตลอดแปดปีที่ผ่านมา มีกรณีนักข่าวในยูเครนตายหลายคนแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ

ผลการตรวจสอบ: ตรงตามข้อเท็จจริง (Factually true)

รายงานของคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (CPJ) ระบุว่าในรอบแปดปีตั้งแต่การสู้รบในยูเครนตะวันออกเริ่มต้นขึ้น มีสื่อมวลชนเสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย โดย 6 รายนี้เสียชีวิตขณะลงพื้นที่รายงานการสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่าย อีก 3 รายเสียชีวิตในลักษณะที่เชื่อว่าถูกลอบสังหาร อันเป็นผลมาจากการรายงานเปิดโปงการทุจริตและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในยูเครน ซึ่งปัจจุบัน ยังไม่มีการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: หากถามถึงการปิดสื่อในรัสเซียนั้น สื่อยูเครนก็ถูกปิดเหมือนกันเพราะมีท่าทีต่างจากรัฐบาล

ผลการตรวจสอบ: ตรงตามข้อเท็จจริง (Factually true)

ทันทีที่กองทัพรัสเซียบุกยูเครน รัฐบาลยูเครนได้ออกคำสั่งระงับใบอนุญาตสำนักข่าว 3 แห่งที่ระบุว่ามีจุดยืน “สนับสนุนรัสเซีย” โดยรัฐบาลยูเครนกล่าวหาว่าทั้ง 3 สำนักข่าวมีพฤติกรรมเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ

อย่างไรก็ตาม โฆษกสหภาพยุโรปกล่าวว่าคำสั่งดังกล่าวเสี่ยงต่อการจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชน ขณะที่องค์กรวิชาชีพสื่อในยูเครนก็เตือนว่าส่อเป็นการใช้อำนาจรัฐปิดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเช่นกัน

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: ในส่วนของสื่อรัสเซียที่ถูกระงับนั้น เป็นเพราะผิดเงื่อนไขการจดจัดตั้ง เนื่องจากจดทะเบียนในรัสเซีย แต่มารายงานข่าวให้คนต่อต้านรัสเซีย

ผลการตรวจสอบ: บิดเบือนข้อเท็จจริง (False)

มีสื่ออิสระที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลรัสเซียจำนวนมาก ถูกกดดันให้เซนเซอร์ตัวเองหรือปิดตัวลง เนื่องจากต้องรายงานข้อเท็จจริงในมุมมองที่รัฐบาลกำหนด เช่น ห้ามเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนว่าสงคราม ต้องเรียกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” เท่านั้น ซึ่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เพิ่งลงนามกฎหมายพิเศษ ห้ามการเสนอข้อมูลหรือข่าวสารที่รัฐบาลชี้ว่าบิดเบือนเกี่ยวกับปฏิบัติการในยูเครน โทษสูงสุดจำคุก 15 ปี สร้างความหวาดกลัวไปทั่ววงการสื่อรัสเซีย

นอกจากนี้ ตำรวจรัสเซียได้จับกุมผู้สื่อข่าวหลายคนขณะรายงานข่าวการชุมนุมต่อต้านสงครามในรัสเซีย ทั้งที่เป็นเพียงการทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงตามหลักวิชาชีพสื่อเท่านั้น

คำอ้างจากทูตรัสเซีย: สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติร่วมกันทุกปีคือการประณามการเชิดชูลัทธินาซี (glorification of Nazism) มีสองประเทศที่โหวตค้าน คือสหรัฐอเมริกา และยูเครน

ผลการตรวจสอบ: ตรงตามข้อเท็จจริง แต่เข้าข่ายบิดเบือน (Factually true, but misleading)

ทูตรัสเซียยกข้อความดังกล่าวมาโดยมิได้ให้บริบทถึงสาเหตุการโหวตค้านของสหรัฐอเมริกาและยูเครนโหวตค้าน

ทางการสหรัฐฯระบุว่า สาเหตุที่โหวตค้านเนื่องมาจากข้อความหนึ่งในมติที่ประชุม เรียกร้องให้ชาติสมาชิกออกกฎหมายห้ามการเชิดชูลัทธินาซีหรือเคลื่อนไหวเชิดชูลัทธินาซีอย่างเด็ดขาด ซึ่งขัดกับบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญอเมริกัน ที่อนุญาตให้ประชาชนพูด แสดงความเห็น และรณรงค์ในอุดมการณ์ต่างๆได้ โดยที่รัฐไม่สามารถห้ามทางกฎหมายได้ ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ระบุเช่นกันว่าถึงแม้ลัทธินาซีจะเป็นที่น่ารังเกียจในสังคมอเมริกัน แต่สังคมอเมริกันย่อมมีสิทธิในการแสดงความเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือต่อต้านลัทธินาซี

ด้านรัฐบาลยูเครนระบุว่า สาเหตุที่โหวตค้านเนื่องมาจากเล็งเห็นว่ามติดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างของรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลรัสเซียได้พยายามสร้างข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลยูเครนอยู่ในการควบคุมของกลุ่มนาซีขวาจัดมาตลอด เพื่อโจมตีและทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลยูเครน

ทั้งนี้ ในการบุกยูเครนล่าสุดโดยกองทัพรัสเซียครั้งล่าสุด รัฐบาลรัสเซียได้หยิบยกข้อกล่าวหาว่ายูเครนตกอยู่ในการควบคุมของกลุ่มนาซีขวาจัด มาใช้เป็นสาเหตุหนึ่งของ “ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ” ในยูเครนเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ตลอดระยะเวลาการแถลงข่าวในวันนี้ ทูตรัสเซียไม่เรียกปฏิบัติการในรัสเซียว่าสงครามหรือการรุกราน แต่ใช้คำว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” หรือ Special Military Operation นอกจากนั้น สำนักข่าวข่าวสดอิงลิชและไทยเอ็นไควเรอร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีสื่อต่างประเทศได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแถลงข่าวเลย

ขอบคุณ สำนักข่าวประชาไท

คลิปวิดีโอต่างๆ

haha general